วันอาทิตย์ที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2551

ออกข้อสอบปรนัย/อัตนัย

ข้อสอบอัตนัย 10 ข้อ

1. mart 4 bit ได้กี่ Host ของ Class A
ก. 2^4 = 16 - 2 = 14 Host
ข. 2^4 = 8 - 2 = 6 Host
ค. 2^20 = 1048576 - 2 = 1048574 Host
ง. 2^20 = 1048426 - 2 = 1048424 Host

2. IP Address : 192.0.0.0 subnet mask คือข้อใด
ก. 255.0.0.0
ข. 255.255.0.0
ค. 255.255.255.0
ง. 255.255.255.255

3. CIDR มีชื่อเรียกอีกชื่อหนึ่งว่าอะไร
ก. Super net
ข. Hi speed internet
ค. Internet Explore
ง. ถูกทั้ง ก และ ข

4.Subnet Mask มีลักษณะคล้ายกับข้อใดต่อไปนี้
ก.Result
ข.IP Address
ค.Network
ง. Link

5. IP address 32 บิต จะอธิบายเป็น dot address คือ กี่กลุ่ม
ก.2 กลุ่ม
ข.3 กลุ่ม
ค.4 กลุ่ม
ง.5 กลุ่ม

6.ปกติการรับ-ส่ง Datagram จะมีอะไรเป็นตัวจัดการ?
ก.Router
ข.Pouter
ค.Fouter
ง.Bouter

7. mask 2 bit class a เลขฐาน 16 คือ
ก.11111111.11000000.00000000.00000000
ข.1111111.11111111.00000000.00000000
ค.11111111.00000000.00000000.00000000
ง. 11111111 .11111111.11111111.11111111

8. 11111111.11111111.11111111.00000000 ตรงกับข้อใด
ก. N.N.N.H
ข. N.N.H.H
ค. N.H.N.H
ง. N.N.H.N

9. mask 2bit class c หมายเลข subnet ตรงกับข้อใด
ก. 2^2 =4-2=2
ข . 2^18=262144-2=262140
ค . 2^18=262144-2=262142
ง. 2^18=26144-2=262144

10.หมายเลข Host มีชื่อเรียกอีกชื่อหนึ่งว่าอะไร
ก. Prefix
ข. Suffix
ค. Perfix
ง. ถูกทั้งข้อ ก และ ค

ข้อสอบปรนัย 10 ข้อ


1. Class C หมายถึง Subnet mask เป็น 255.255.255.0
และแจก IP จริงในองค์กรได้สูงสุดเท่าใด
..................................................................
..................................................................
ตอบ Class C แจก IP จริงในองค์กรได้สูงสุด 254

2. จงหาค่าของ Subnet Maskให้เขียน Defualt Subnet Mask ให้อยู่ในเลขฐานสอง ในที่นี้ 192.168.0.0 ในในคลาส B ดังนั้น Subnet Mask คือ 255.255.0.0 เมื่อเขียนเป็นเลขฐานสองจะได้เท่ากับ

..............................................

..............................................

ตอบ 11000000.10101000.00000000.00000000

3. mark 3 bit ได้ class B ได้กี่ host

.................................................

ตอบ 2^5=32-2 = 30 host

4. mark 5 bit Class B หมายเลข Subnet อะไร

...............................................

ตอบ 255.255.248.0

5. จงหาค่าของ Subnet Maskให้เขียน Defualt Subnet Mask ให้อยู่ในเลขฐานสอง ในที่นี้ 192.168.0.0 ในในคลาส A ดังนั้น Subnet Mask คือ 255.0.0.0 เมื่อเขียนเป็นเลขฐานสองจะได้เท่ากับ

..........................................................................................................

ตอบ 11000000.00000000.00000000.00000000

6. Mark 2 bit ได้ Class A ได้กี่ subnet

................................................

ตอบ 2^2 = 4-2 = 2 subnet

7. Mark 12 bit ได้ Class A ได้กี่ subnet

..............................................................

ตอบ 2^12 = 4,096-2 = 4094 subnet

8. mark 4 bit ได้ class A ได้กี่ subnet

.............................................................

ตอบ 2^4 = 16 -2 = 14 subnet

9. Mark 7 bit ได้ Class A ได้กี่ subnet

...................................................

ตอบ 2^7 = 128-2 = 126 subnet

10. กรณีที่ว่า สมมติได้ IP คลาส C มา สมมติอีกว่าอยู่ในช่วง 200.10.20.0-200.10.20.255 (สำหรับคนที่ไม่ทราบนะครับ 1 คลาส C จะมี 256 หมายเลข IP) แล้วต้องการแบ่งเป็น 8 กลุ่มย่อยเท่าๆ กัน เราจะได้กลุ่มละ 32 หมายเลขซึ่งต้องใช้ 5 บิตในการแทน ในกรณีนี้ network address ก็จะมี 27 บิต และ subnet mask ก็จะเป็น 255.255.255.224 แต่ละกลุ่มมี network address ดังนี้

.......................................................................

.......................................................................

ตอบ

.200.10.20.0

.200.10.20.32

.200.10.20.64

.200.10.20.96

.200.10.20.128

.200.10.20.160

.200.10.20.192

.200.10.20.224

การบ้านเรื่อง Eternet (IEEE 802.3)

1. IEEE 802.3 (Ethernet)
-ได้ปฏิวัติความต้องการในการเพิ่มปริมาณของPacketข้อมูลในเครือข่าย
- ลดต้นทุนการรับส่งข้อมูล
- ความน่าเชื่อถือ
- การติดตั้งบำรุงรักษา ทำได้สะดวก
- เริ่มต้นทำงานที่ 10 Mbps (มีชื่อว่า Ethernet)
- ความเร็วระดับ 100 Mbps (มีชื่อว่า Fast Ethernet)
- ระดับ 1 Gbps (มีชื่อว่า Gigabit Ethernet)
- ปัจจุบัน 10 Gbps (มีชื่อว่า 10 Gigabit Ethernet หรือ 10 GbE) กำลังจะเข้ามาในเครือข่ายของ Ethernet และชั้นData Link
- เป็นข้อกำหนดด้านรูปแบบของเฟรมข้อมูล (Frame) ใช้ Access Method แบบ CSMA/CD และใช้Topology แบบ Bus , Star และ Ring
- IEEE ก็ได้ประกาศรับรองมาตรฐานของEthernetไว้ในมาตรฐาน IEEE 802 ซึ่งเป็นมาตรฐานหลักที่เกี่ยวกับรูปแบบของการใช้งานและข้อมูลต่างๆ เช่น 10Base510หมายถึงความเร็ว 10 MbpsBase หมายถึง Baseband (“Broad” คือ Broadband)5หมายถึงระยะไกลสุดที่สามารถเชื่อมต่อ ในที่นี้คือ 500 เมตรT หมายถึง ใช้สาย Twisted Pair และ “F” หมายถึง Fiber
- มาตรฐาน IEEE 802.3u ซึ่งได้ขยายครอบคลุมความเร็วระดับ 100 Mbps (Fast Ethernet) ประกอบด้วย100BaseTX เป็นการใช้สาย UTP Category 5 เชื่อมต่อได้ไกล 100 เมตร/Segment100BaseFX เป็นการใช้สาย Fiber Optic เชื่อมต่อได้ไกลถึง 412 เมตร/Segment
- ร่างมาตรฐาน 802.3z หรือ Gigabit Ethernet โดยจะทำการขยายความเร็วในการเชื่อมต่อขึ้นไปถึง 1000 Mbps (1 Gigabit/Seconds

2. มาตรฐาน 10 Base 2ความหมาย 10 คือความเร็วในการส่งข้อมูล 10 Mbps Base คือการส่งข้อมูลแบบ Baseband 2 คือความยาวสูงสุด 200 เมตร (185 – 200 เมตร )10 Base 2 เป็นแบบเครือข่ายที่ใช้สาย Coaxial แบบบาง (Thin Coaxial) ชนิด RG-58 A/U โดยจะมี Teminator (50 โอมห์ ) เป็นตัวปิดหัว และท้ายของเครือข่าย อุปกรณ์ต่าง ๆ ที่ควรทราบ คือสายสัญญาณที่ใช้ในการส่งข้อมูลในระบบเครือข่ายชนิด 10 Base 2 หรือที่เรียกสั้นๆ ว่าสาย Thinแผงวงจรเครือข่าย (LAN Card)คือแผงวงจรเครือข่ายที่เสียบไว้กับตัวเครื่อง และเชื่อมต่อด้วยสายเพื่อต่อเป็นเครือข่าย โดยวงจรเครือข่ายนี้จะมีหัวเสียบที่ใช้กับหัวต่อแบบ BNC Connector Socket( LAN Card ) ชนิด BNC ใช้กับมาตรฐาน 10 Base 2ข้อกำหนดของ 10 Base 2
• ใช้สาย Thin Coaxial ชนิด RG-58 A/U
• หัวที่ใช้ต่อกับสายคือ หัว BNC
• ห้ามต่อหัว BNC เข้ากับ LAN Card โดยตรง ต้องต่อด้วย T-Connector เท่านั้น
• เครื่องตัวแรกและตัวสุดท้ายในเครือข่าย ต้องปิดด้วย Terminator ขนาด 50 โอมห์
• ความยาวของสายแต่ละเส้นที่ต่อระหว่าง Workstation ต้องมีความยาวไม่ต่ำกว่า 0.5 เมตร
• สายสัญญาณต่อ 1 Segment ยาวไม่เกิน 200 เมตร (185 – 200 เมตร )
• ใน 1 Segment สามารถต่อเป็นเครือข่ายได้ไม่เกิน 30 เครื่อง
• ในกรณีที่ต้องการต่อมากกว่า 30 เครื่อง ต้องมีอุปกรณ์ที่เรียกว่า Repeater เพื่อเพิ่ม Segment โดยสามารถต่อ Repeater ได้ไม่เกิน 4 Repeater ( ดังนั้น 4 Repeater = 5 Segment)
• ความยาวของสายสัญญาณทั้งหมด สูงสุด 1000 เมตร (200 เมตรต่อ 1 Segment คูณด้วย 5 Segment)
• จำนวนเครื่องสูงสุดในเครือข่าย 150 เครื่อง (30 เครื่องต่อ 1 Segment คูณด้วย 5 Segment)

3. มาตรฐาน 10 Base 5ความหมาย 10 คือความเร็วในการส่งข้อมูล 10 MbpsBase คือการส่งข้อมูลแบบ Baseband
• คือความยาวสูงสุด 500 เมตร10 Base 5 เป็นแบบเครือข่ายที่มีลักษณะคล้ายกับ 10 Base 2 แต่จะใช้สาย Coaxial แบบหนา (Thick Coaxial หรือ Back Bone) เป็นสายชนิด RG-8 ซึ่งสายจะเป็นสีเหลืองและมีขนาดใหญ่โดย Teminator (50 โอมห์ ) เป็นตัวปิดหัว และท้ายของเครือข่าย เครือข่ายชนิด 10 Base 5 นี้ จะมีต่อจำนวนเครื่องได้มากกว่า และต่อในระยะได้ไกลกว่าแบบ 10 Base 2 แต่ในปัจจุบันมักไม่นิยมใช้กัน เนื่องจากต้องใช้ค่าใช้จ่ายสูง อุปกรณ์ต่างๆ ที่ควรทราบ มีดังนี้แผงวงจรเครือข่าย (LAN Card)คือแผงวงจรเครือข่ายที่เสียบไว้กับตัวเครื่อง และเชื่อมต่อด้วยสายเพื่อต่อเป็นเครือข่าย โดยแผงวงจรเครือข่ายนี้จะมีหัวเสียบเป็นชนิด DIX Connector Socket
ข้อกำหนดของ 10 Base 5
• ใช้สาย Thick Coaxial ชนิด RG-8
• หัวที่ใช้ต่อกับสายคือหัว DIX หรือบางทีอาจจะเรียกว่า หัว AUI
• เครื่องตัวแรกและตัวสุดท้ายในเครือข่ายต้องปิดด้วย N-Series Terminator ขนาด 50 โอมห์
• ระยะห่างระหว่าง Transceiver ต้องไม่ต่ำกว่า 2.5 เมตร
• Transceiver Cable จะมีความยาวได้ไม่เกิน 50 เมตร
• ใน 1 Segment สามารถต่อเป็นเครือข่ายได้ไม่เกิน 100 เครื่อง
• สายสัญญาณต่อ 1 Segment ยาวไม่เกิน 500 เมตร
• ในกรณีที่ต้องการต่อมากกว่า 100 เครื่อง ต้องมีอุปกรณ์ที่เรียกว่า Repeater เพื่อเพิ่มSegment โดยสามารถต่อ Repeater ได้ไม่เกิน 4 Repeater (ดังนั้น 4 Repeater = 5 Segment)
• ความยาวของสายสัญญาณทั้งหมด สูงสุด 2,500 เมตร (500 เมตรต่อ 1 Segment คูณด้วย 5 Segment )• จำนวนเครื่องสูงสุดในเครือข่าย 500 เครื่อง (100 เครื่องต่อ Segment คูณด้วย 5 Segment )

4. 100 Base F
100Base-Fสาย AMP OSP (Outside Plant) ถูกออกแบบมาเฉพาะ เพื่อการติดตั้งในพื้นที่ขนาดใหญ่ เพราะสามารถติดตั้งไว้บนเสาโยง หรือลอดท่อใต้ดิน เพื่อเชื่อมต่อระหว่างอาคาร สายถูกทดสอบตามมาตรฐาน TIA ซึ่งเป็นข้อกำหนดสำหรับสายไฟเบอร์ออปติก ทั้งยังมีคุณสมบัติเกินมาตรฐานไปอีกขั้น จึงรองรับได้ทั้ง 100Base-F, 155/622 Mbps ATM และกิกะบิตอีเธอร์เน็ต

5. 1000 BASE FX
- เป็นมาตรฐานใหม่ของเทคโนโลยี LAN พัฒนามาจาก เครือข่ายแบบ Ethernet ความเร็ว 10 Mbpsให้สามารถรับส่งข้อมูลได้ที่ระดับความเร็ว 1 Gbps
- ยังคงใช้กลไก CSMA/CD ในการร่วมใช้สื่อเหมือน Ethernet แบบเก่า
- มีการพัฒนาและดัดแปลงให้สามารถรองรับความเร็วในระดับ 1 GbpsGigabit Ethernet
- สนับสนุนการทำงานใน Mode Full-Duplex- ทำงานในการเชื่อมต่อ1) ระหว่าง Switch กับ Switch2)ระหว่าง Switch กับ End Station
- การเชื่อมต่อผ่าน Repeater , Hub จะเป็นลักษณะของ Shared- Media (ซึ่งใช้กลไกCSMA/CD) จะทำงานใน Mode Half-Duplex
155/622 Mbps ATM และกิกะบิตอีเธอร์เน็ต

วันอังคารที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2551

สรุป basic’s datacommunication
การสื่อสารข้อมูล (Data Communications) หมายถึง กระบวนการถ่ายโอนหรือแลกเปลี่ยนข้อมูลกันระหว่างผู้ส่งและผู้รับ โดยผ่านช่องทางสื่อสาร เช่น อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ หรือคอมพิวเตอร์เป็นตัวกลางในการส่งข้อมูล เพื่อให้ผู้ส่งและผู้รับเกิดความเข้าใจซึ่งกันและกันส่วนประกอบพื้นฐานของการสื่อสารข้อมูล
1. ตัวส่งข้อมูล
2. ช่องทางการส่งสัญญาณ
3. ตัวรับข้อมูล
4. การสื่อสารข้อมูลในระดับเครือข่ายมาตรฐานกลางที่ใช้ในการส่งข้อมูลระหว่างคอมพิวเตอร์ในระบบเครือข่ายคือ มาตรฐาน OSI (Open Systems Interconnection Model) ซึ่งทำให้ทั้งคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์เชื่อมต่อต่างๆ สามารถเชื่อมโยงและใช้งานในเครือข่ายจุดมุ่งหมายของการกำหนดมาตรฐาน OSI นี้ขึ้นมาก็เพื่อจัดแบ่งการดำเนินงานพื้นฐานของเครือข่ายและกำหนดหน้าที่การทำงานในแต่ละชั้น
1.Application Layer = มีหน้าที่ติดต่อระหว่างผู้ใช้โดยตรง
2.Presentation Layer = มีหน้าที่คอยรวบรวมข้อความ และแปลงรหัสหรือแปลงรูปแบบของข้อมูลให้เป็นรูปแบบการสื่อสารเดียวกัน
3.Session Layer = มีหน้าที่เชื่อมโยงระหว่างผู้ใช้งานกับคอมพิวเตอร์เครื่องอื่นๆ โดยจะกำหนดจุดผู้รับและผู้ส่ง
4.Transport Layer = มีหน้าที่ตรวจสอบและป้องกันขอ้มูลให้ข้อมูลที่ส่งมานั้นไปถึงปลายทางจริงๆ
5.Network Layer = มีหน้าที่กำหนดเส้นทางการเดินทางของข้อมูลที่ส่ง-รับในการส่งข้อมูลระหว่างต้นทางและปลายทาง
6.DataLink Layer = มีหน้าที่เหมือนผู้ตรวจสอบ คอยควบคุมความผิดำพลาดในข้อมูล
7. Physical Layer = มีหน้าที่รับ-ส่งข้อมูลจากช่องทางการสื่อสารสื่อระหว่างคอมพิวเตอร์
รูปแบบของการส่งสัญญาข้อมูล
1. แบบทิศทางเดียวหรือซิมเพล็กซ์ (One-way หรือ Simplex
2. แบบกิ่งทางคู่หรือครึ่งดูเพล็กซ์ (Half-Duplex)
3. แบบทางคู่หรือดูเพล็กซ์เต็ม (Full - Duplex )แบบมีสายเช่น สายโทรศัพท์ เคเบิลใยแก้วนำแสงสายโคแอคเชียล (Coaxial)สายแบบนี้จะประกอบด้วยตัวนำที่ใช้ในการส่งข้อมูลเส้นหนึ่งอยู่ตรงกลางอีกเส้นหนึ่งเป็นสายดินใยแก้วนำแสง (Optic Fiber)ทำจากแก้วหรือพลาสติกมีลักษณะเป็นเส้นบางๆ คล้าย เส้นใยแก้วจะทำตัวเป็นสื่อในการส่งแสงเลเซอร์ที่มีความเร็วในการส่งสัญญาณเท่ากับความเร็วของแสงข้อดีของใยแก้วนำแสดงคือ
1. ป้องกันการรบกวนจากสัญญาณไฟฟ้าได้มาก
2. ส่งข้อมูลได้ระยะไกลโดยไม่ต้องมีตัวขยายสัญญาณ
3. การดักสัญญาณทำได้ยาก ข้อมูลจึงมีความปลอดภัยมากกว่าสายส่งแบบอื่น
4. ส่งข้อมูลได้ด้วยความเร็วสูงและสามารถส่งได้มาก ขนาดของสายเล็กและน้ำหนักเบาแบบไม่มีสายเช่น ไม่โครเวฟ และดาวเทียมไมโครเวฟ (Microwave) สัญญาณไม่โครเวฟเป็นคลื่นวิทยุเดินทางเป็นเส้นตรง อุปกรณ์ที่ใช้ในการรับ-ส่งคือจานสัญญาณไม่โครเวฟ ซึ่งมักจะต้องติดตั้งในที่สูงและมักจะให้อยู่ห่างกันประมาณ 25-30 ไมล์ข้อดี ของการส่งสัญญาณด้วยระบบไมโครเวฟ ก็คือ สามารถส่งสัญญาณด้วยความถื่กว้างและการรบกวนจากภายนอกจะน้อยมากจนสัญญาณไม่ดี หรืออาจส่งสัญญาณไม่ได้ การส่งสัญญาณโดยใช้ระบบไมโครเวฟนี้จะใช้ในกรณ๊ที่ไม่สามารถจะติดตั้งสายเคเบิลได้ เช่น อยู่ในเขตป่าเขาดาวเทียม (Setellite)มีลักษณะการส่งสัญญา คล้ายไมโครเวฟ แต่ต่างกันตรงที่ ดาวเทียมจะมีสถานีรับส่งสัญญาณลอยอยู่ในอวกาศจึงไม่มีปัญหาเรื่องส่วนโค้งของผิวโลกก่อนส่งกลับมายังพื้นโลกข้อดี ของการสื่อสารผ่านดาวเทียมคือ ส่งข้อมูลได้มาก และมีความผิดพลาดน้อยส่วนข้อเสีย คือ อาจจะมีความล่าช้าเพราะระยะทางระหว่างโลกกับดาวเทียม หรือถ้าสภาพอากาศไม่ดีก็อาจจะก่อให้เกิดความผิดพลาดได้
Basic’s IP Address
ผู้ใช้อินเทอร์เน็ตทุกคนต้องเกี่ยวข้องกับไอพีแอดเดรส อย่างน้อย พีซีที่ต่ออยู่กับอินเทอร์เน็ตต้องมีการกำหนดไอพีแอดเดรส คำว่าไอพีแอดเดรส จึงหมายถึงเลขหรือรหัสที่บ่งบอก ตำแหน่งของเครื่องที่ต่ออยู่บน อินเทอร์เน็ต ตัวเลขรหัสไอพีแอดเดรสจึงเสมือนเป็นรหัสประจำตัวของเครื่องที่ใช้ ตั้งแต่พีซี ของผู้ใช้จนถึงเซิร์ฟเวอร์ให้บริการอยู่ทั่วโลก ทุกเครื่องต้องมีรหัสไอพีแอดเดรสและต้องไม่ซ้ำกันเลยทั่วโลก ไอพีแอดเดรสที่ใช้กันอยู่นี้เป็น ตัวเลขไบนารีขนาด 32 บิตหรือ 4 ไบต์11101001110001100000001001110100แต่เมื่อต้องการเรียกไอพีแอดเดรสจะเรียกแบบไบนารีคงไม่สะดวก จึงแปลงเลขไบนารี หรือเลขฐานสองแต่ละไบต์ ( 8 บิต ) ให้เป็นตัวเลขฐานสิบโดยมีจุดคั่น11001011100101110010111000010011203 .151 .46 .19เมื่อตัวเลขไอพีแอดเดรสจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับกำหนดให้กับเครื่อง และอินเทอร์เน็ตเติบโตรวดเร็วมาก เป็นผลทำให้ไอพีแอดเดรสเริ่มหายากขึ้นการกำหนดไอพีแอดเดรสเน้นให้องค์กรจดทะเบียนเพื่อขอไอพีแอดเดรสและมีการแบ่งไอพีแอดเดรส ออกเป็นกลุ่มสำหรับองค์กรเรียกว่า คลาส โดยแบ่งเป็น คลาส A คลาส B คลาส Cคลาส A กำหนดตัวเลขในฟิลด์แรกเพียงฟิลด์เดียว ที่เหลืออีกสามฟิลด์ให้องค์กรเป็นผู้กำหนดดังนั้นจึงมีไอพีแอดเดรสในองค์กรเท่ากับ 256 x 256 x 256คลาส B กำหนดตัวเลขให้ สองฟิลด์ ที่เหลืออีกสองฟิลด์ให้องค์กรเป็นผู้กำหนดดังนั้นองค์กรจึงมีไอพีแอดเดรส ที่กำหนดได้ถึง 256 x 256 = 65536 แอดเดรสคลาส C กำหนดตัวเลขให้สามฟิลด์ที่เหลือให้องค์กรกำหนดได้เพียงฟิลด์เดียว คือมีไอพีแอดเดรส 256เมื่อพิจารณาตัวเลขไอพีแอดเดรสหากไอพีแอดเดรสใดมีตัวเลขขึ้นต้น 1-126 ก็จะเป็นคลาส Aดังนั้นคลาส A จึงมีได้เพียง 126 องค์กรเท่านั้น หากขึ้นต้นด้วย 128-191 ก็จะเป็นคลาส B เช่น ไอพีแอดเดรสของกรมราชทัณฑ์ขึ้นต้นด้วย 158 จึงอยู่ในคลาส B และหากขึ้นต้นด้วย 192-223 ก็เป็นคลาส Cลักษณะการใช้ไอพีแอดเดรสในองค์กรจึงมีวิธีการจัดสรรและกำหนดเพื่อให้ใช้งาน แต่เนื่องจากหลายหน่วยงานติดขัดด้วยจำนวนหมายเลขที่ได้รับเช่นองค์กรขนาดใหญ่ แต่ได้รับคลาส C จึงย่อมสร้างความยุ่งยากในการสร้างเครือข่ายสำหรับกรมราชทัณฑ์ที่มีไอพีคลาสซี จึงได้แบ่งและจัดสรรไอพีแอดเดรสให้กับหน่วยงานต่างๆได้อย่างพอเพียงไอพีแอดเดรสแต่ละกลุ่มที่ได้รับการจัดสรรจะได้รับการควบคุทำนองเดียวกัน หน่วยงานย่อยรับแอดเดรสไปเป็นกลุ่มก็สามารถนำไอพีแอดเดรส ที่ได้รับไปจัดสรรแบ่งกลุ่มด้วยอุปกรณ์เราเตอร์หรือ สวิตชิ่งได้ การกำหนดแอดเดรสจะต้องอยู่ภายในกลุ่มของตนเท่านั้นมิฉะนั้นอุปกรณ์เราเตอร์จะไม่ สามารถทำงานรับส่งข้อมูลได้การกำหนดเส้นทางโดยอุปกรณ์จำพวก เราเตอร์ และสวิตชิ่งไอพีแอดเดรสจึงเป็นรหัสหลักที่จำเป็นในการสร้างเครือข่าย เครือข่ายทุกเครือข่ายจะต้องมีการกำหนดแอดเดรสสำนักบริการคอมพิวเตอร์ได้จัดสรรกลุ่มไอพีไว้ให้หน่วยงานต่างๆอย่างพอเพียงโดยที่แอดเดรสทุกแอดเดรสที่ใช้ใน กลุ่ม เช่น การเซตให้กับพีซีแต่ละเครื่องต้องไม่ซ้ำกัน รหัสไอพีแอดเดรสจึงเป็นโครงสร้างพื้นฐานอย่างหนึ่งที่มีค่าสำหรับองค์กรหากองค์กร เรามีไอพีแอดเดรสไม่พอ หรือขาดแคลนไอพีแอดเดรสจะทำอย่างไร เช่นมหาวิทยาลัย ก. เป็นมหาวิทยาลัยขนาดใหญ่แต่ได้คลาส C ซึ่งมีเพียง 256 แอดเดรสแต่มีผู้ที่จะใช้ไอพีแอดเดรสเป็นจำนวนมากสิ่งที่จะต้องทำคือ มหาวิทยาลัย ก. ยอมให้ภายนอกมองเห็นไอพีแอดเดรสจริงตามคลาส Cนั้น ส่วนภายในมีการกำหนดไอพีแอดเดรสเองโดยที่ไอพีแอดเดรสที่กำหนดจะต้องไม่ปล่อยออกภายนอก เพราะจะซ้ำผู้อื่นผู้ดูแลเครือข่ายต้องตั้งเซิร์ฟเวอร์หนึ่งเครื่องเป็นตัวแปลงระหว่างแอดเดรสท้องถิ่น กับแอดเดรสจริงที่จะติดต่อภายนอก วิธีการนี้เรียกว่า NAT = Network Address Translatorซึ่งแน่นอนก็ต้องสร้างความยุ่งยากเพิ่มเติม และทุกแพกเก็ต IP จะมีการแปลงแอดเดรสทุกครั้ง ทั้งขาเข้าและขาออก จึงทำให้ประสิทธิภาพการติดต่อย่อมลดลง ซึ่งแตกต่างกับการใช้ไอพีแอดเดรสจริงรูปแบบของไอพีแอดเดรส
- มีขนาด 32 บิต- ประกอบด้วยเลข 2 ส่วน
- เลขเครือข่าย (network number)
- เลขโฮสต์ (host number)
- รูปแบบการเขียน “dotted decimal”
- แบ่งเป็น 4 ไบต์- คั่นแต่ละไบต์ด้วยจุด (dot)ความสำคัญของเลขเครือข่ายและโฮสต์
- เราเตอร์ (Router)
- ใช้เลขเครือข่ายเลือกเส้นทางส่ง packet
- โฮสต์ที่มี netid ชุดเดียวกัน
- จะอยู่เครือข่ายเดียวกัน
- สื่อสารกันได้โดยใช้เฟรม data-link
- ไม่ต้องใช้เราเตอร์- โฮสต์ที่มี netid ต่างกัน
- จะอยู่ต่างเครือข่าย
- เราเตอร์จะส่ง packet ข้ามเครือข่าย
การจัดคลาสเครือข่าย
Class A 0 network host host host
Class B 10 network network host host
Class C 110 network network network host
Class A = 0 – 126
Class B = 128 – 191
Class C = 192 -223
Class D = 224 – 239
Class E = 240 – 255127
เป็น IP แบบพิเศษการหาจำนวน netid และ hostid- ใช้สูตร 2n- n = จำนวนบิต- network และ host ที่สงวนไว้- network ที่มีบิตเป็น “0” และ “1” ทั้งหม- host ที่มีบิตเป็น “0” และ “1” ทั้งหมด Class Aจำนวน network = 7 บิต- จำนวนเครือข่ายทั้งหมด = 27 = 128 เครือข่าย- จำนวนเครือข่ายที่ใช้งานได้ = 27-2 = 128 – 2= 126 เครือข่าย- จำนวนโฮสต์ในแต่ละเครือข่าย= 24 บิต- จำนวนโฮสต์ทั้งหมด = 224 = 16,777,216 โฮสต์- จำนวนโฮสต์ที่ใช้งานได้ = 224-2 = 16,777,216 – 2= 16,777,214 โฮสต์Class B- จำนวน network = 14 บิต- จำนวนเครือข่ายทั้งหมด = 214 = 16,384 เครือข่าย- จำนวนเครือข่ายที่ใช้งานได้ = 214-2 = 16,384 – 2= 16,382 เครือข่าย- จำนวนโฮสต์ในแต่ละเครือข่าย= 16 บิต- จำนวนโฮสต์ทั้งหมด = 216 = 65,536 โฮสต์- จำนวนโฮสต์ที่ใช้งานได้ = 224-2 = 65,536 – 2= 65,534 โฮสต์Class C- จำนวน network = 21 บิต- จำนวนเครือข่ายทั้งหมด = 221 = 2,097,152 เครือข่าย- จำนวนเครือข่ายที่ใช้งานได้ = 221-2 = 2,097,152 – 2= 2,097,150 เครือข่าย- จำนวนโฮสต์ในแต่ละเครือข่าย= 8 บิต- จำนวนโฮสต์ทั้งหมด = 28 = 256 โฮสต์- จำนวนโฮสต์ที่ใช้งานได้ = 28-2 = 256 – 2= 254 โฮสต์Default subnet maskClass Netmask Binary netmask ขนาดA 255.0.0.0 11111111.00000000.00000000.00000000 8 บิตB 255.255.0.0 11111111.11111111.00000000.00000000 16 บิตC 255.255.255.0 11111111.11111111.11111111.00000000 24 บิต
ตัวอย่าง
- IP address 64.7.1.50 จะมี default netmask 255.0.0.0
- IP address 158.200.100.45 จะมี default netmask 255.255.0.0
- IP address 192.168.1.1 จะมี default netmask 255.255.255.0ประเภทของ Subnet Mask
- Fixed Length Subnet Mask
- ใช้ค่า subnet mask เดียวกันตลอดทั้งเครือข่าย
- แต่ละ subnet จะมีจำนวนโฮสต์เท่าๆ กัน
- Variable Length Subnet Mask
-ใช้ค่า subnet mask ต่างกันในแต่เครือข่าย
- แต่ละ subnet จะมีจำนวนโฮสต์ไม่เท่ากันการแบ่งเครือข่ายย่อย (subnet mask)
- เป็นเลขขนาด 32 บิต
- บิตที่ตรงเลขเครือข่าย (netid) มีค่าเท่ากับ “1”
- บิตที่ตรงเลขโฮสต์ (hostid) มีค่าเท่ากับ “0”การเลือกเส้นทางใน subnet mask
- ตรวจสอบว่าเป็น IP ที่อยู่ในเครือข่ายเดียวกันหรือไม่
- ใช้เทคนิคการ “AND” บิต ระหว่าง IP กับ subnet mask
- ถ้า subnet address มีค่าเท่ากัน
- อยู่ในเครือข่ายเดียวกัน
- ส่ง packet โดยใช้ ethernet adddress
- ถ้า subnet address มีค่าต่างกัน- อยู่ต่างเครือข่าย
- ส่ง packet ไปให้ router เพื่อส่งข้อมูลต่อไป
แปลง IP เป็น binary
-209.123.226.168
=11010001.01110001.11100001.10101000

-198.60.70.81
=11000110.00111000.01000110.01010001
CIDR
-บอกหมายเลข Subnet Mask
-บอกจำนวน Host CIDR ที่ให้คือ
/22
11111111.11111111.11111100.00000000
= (255+255+252+0)
Subnet Mask = (255.255.252.0)
Host 2^10 = 1024 – 2 = 1022
-------------------------------------------------
/18
11111111.11111111.11000000.00000000
= (255+255+192+0)
Subnet Mask =( 255.255.192.0)
Host = 2^14 = 16384 – 2 = 16382
-------------------------------------------------
/27
11111111.11111111.11111111.11100000
= (255.255.255.224)
Subnet Mask = (255.255.255.224)
Host = 2^5 = 32- 2 = 30
-------------------------------------------------
ออกข้อสอบเรื่อง IP Address 5ข้อ
1.ไอพีแอดเดรสที่ใช้กันส่วนมากมีทั้งหมดกี่บิต
ก.ขนาด4 บิต
ข.ขนาด 8บิต
ค.ขนาด16บิต
ง.ขนาด32บิต

2.รูปแบบของไอพีแอดเดรสเป็นไปในลักษณะใด
ก.มีขนาดช่องทางที่ใหญ่
ข. มีขนาด 32 บิต, ประกอบด้วยเลข 2 ส่วน
ค. มีตำเลขจำนวนมาก
ง.มี16บิต

3.ข้อใดคือเส้นทางใน subnet mask
ก.ส่ง packet โดยใช้ ethernet address
ข. อยู่ในเครือข่ายเดียวกัน
ค.ถ้า subnet address มีค่าเท่ากัน
ง.ไม่มีข้อถูก

4.ข้อใดเป็นการแบ่งเครือข่ายย่อย (subnet mask)
ก. เป็นเลขขนาด 32 บิต
ข.บิตที่ตรงเลขเครือข่าย (netid) มีค่าเท่ากับ “1”
ค. บิตที่ตรงเลขโฮสต์ (hostid) มีค่าเท่ากับ “0”
ง.ถูกทุกข้อ

5.ข้อใดคือความสำคัญของเลขเครือข่ายและโฮสต์
ก. สื่อสารกันได้โดยใช้เฟรม data-link
ข.รวดเร็ว
ค.มีช่องทางกว้าง
ง.มีจำนวนบิตมาก

ออกข้อสอบเรื่อง CIDR 5 ข้อ
1.ข้อใดคือส่วนประกอบพื้นฐานของการสื่อสารข้อมูล
ก. ตัวส่งข้อมูล
ข. ช่องทางการส่งสัญญาณ
ค. ตัวรับข้อมูล
ง.ถูกทุกข้อ

2.มาตรฐานกลางที่ใช้ในการส่งข้อมูลระหว่างคอมพิวเตอร์ในระบบเครือข่าย คือข้อใด
ก. มาตรฐาน OSI (Open Systems Interconnection Model)ซึ่งทำให้ทั้งคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์เชื่อมต่อต่างๆ สามารถเชื่อมโยงและใช้งานใน
ข.ข้อมูลต่างๆ
ค.คอมพิวเตอร์
ง.ไม่มีข้อถูก

3.รูปแบบของการส่งสัญญาข้อมูลมีกี่รูปแบบ
ก.2.รูปแบบ
ข.3.รูปแบบ
ค4.รูปแบบ
ง.5.รูปแบบ

4.ข้อดีของใยแก้วนำแสดงคือข้อใด
ก. ป้องกันการรบกวนจากสัญญาณไฟฟ้าได้มาก
ข. ส่งข้อมูลได้ระยะไกลโดยไม่ต้องมีตัวขยายสัญญาณ
ค. การดักสัญญาณทำได้ยาก ข้อมูลจึงมีความปลอดภัยมากกว่าสายส่งแบบอื่น
ง.ถูกทุกข้อ

5.ข้อดี ของการสื่อสารผ่านดาวเทียมคือ
ก.ส่งข้อมูลได้มาก และมีความผิดพลาดน้อย
ข. อาจจะมีความล่าช้าเพราะระยะทางระหว่างโลกกับดาวเทียม
ค.ถ้าสภาพอากาศไม่ดีก็อาจจะก่อให้เกิดความผิดพลาดได้
ง.ไม่มีข้อถูก
------------------------------------------------------------------------------

วันอังคารที่ 10 มิถุนายน พ.ศ. 2551

เรียนวันที่ 11 มิถุนายน 2551

11111111 . 11111111 . 11110000 . 00000000

-/20(128+64+32+16=240)

Subnet Mask= 255.255.240.0

Host?? 2^12=4096-2=4094 Host

การแปลงClass ID เป็น Binary

202.29.57.2
11011010 , 00011011 , 00111000 , 0000010

อยู่ใน Class : C

ชื่อเพื่อน

From:kimsath sath (kimsathsath@yahoo.com)http://kimsath.blogspot.com/^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^From:Gus m (guszaa_m@hotmail.com)http://guszaa.blogspot.com/^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^From:นายจำนงค์ ศรีมาศ (srimas2007@hotmail.com)http://jumnong.blogspot.com/^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^From:ชยาพงษ์ วังตะเคน (mo.04@hotmail.com)http://thekop-momo.blogspot.com^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^From:sulak Phonboon (sulak_laky@hotmail.com)http://sulak-noy.blogspot.com/^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^From:khamsan khampang (khampang3@hotmail.com)http://khampang.blogspot.com/^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^From:ชาตรี แก้วมณี (chatree_05@thaimail.com)http://chatree-ton.blogspot.com/^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^From:มยุลี เสมศรี (mayulee8787@hotmail.com)http://mayulee8787.blogspot.com/^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^From:นางสาว จันทร์ กฤษวี (janjun1@hotmail.com)http://janjun.blogspot.com/^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^From:นางสาวประภาศิริ สุทธิหนู(nemo_yung@hotmail.com)http://lylulnlgl.blogspot.com/^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^From:sam an leakmuny (leakmuny@yahoo.com)http://leakmuny-sam.blogspot.com/^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^From:ณัชพร ไชยมูล (clash_oud@hotmail.com)http://khukhan-bantim.blogspot.com/^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^From:วาฤดี สัมนา (waruedee_49@hotmail.com)http://waruedee.blogspot.com/^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^From:warawood wisetmuen (nicnicnic_02@hotmail.com)http://warawood.blogspot.com/^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^From:r y (overnarn@hotmail.com)http://tcomtoo.blogspot.com/^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^From:สุพรรษา ท่วาที (supansa_56@hotmail.com)http://puy-supansa.blogspot.com/^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^From:อรอุมา พละศักดิ์ (tep_ratree@hotmail.com)http://tepratree.blogspot.com/^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^From:สายรุ่ง พงษ์วัน (sayrung_@hotmail.com)http://koraikoo.blogspot.com/^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^From:ศิริกัญญา ศิริญาณ (tumkatong@gmail.com)http://tumkatong.blogspot.com/^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^From:พรพรรณ สังขาว (aaa.37@hotmail.com)http://oake-pornpan.blogspot.com/^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^From:นายเทิดศักดิ์ บุญรินทร์ (ton_therdsak783@hotmail.com)http://tonstaff.blogspot.com/^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^From:นิพนธ์ ทรัพย์ประเสริฐ (nipoon_karn@hotmail.com)http://karnline.blogspot.com/^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^From:ทัสนีย์ ประสาร (tatsanee_1234@thaimail.com)http://ningza-tatsanee.blogspot.com/ ^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^From:wasan dujda (nong2445572@hotmail.com)http://newcastle-wasan.blogspot.com/^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^From:นิพนธ์ ทรัพย์ประเสริฐ์ (kan-49@hotmail.com)http://teerapon123.blogspot.com/^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^From:sophang sophaly (phangsophaly@hotmail.com)http://sophaly-phang.blogspot.com/
1.OSI Model ได้แบ่ง ตามลักษณะของออกเป็นกี่กลุ่มใหญ่ๆ
ก. 1กลุ่ม
ข. 2กลุ่ม
ค. 3กลุ่ม
ง. 4กลุ่ม



2. Layer7, Application Layer ทำหน้าที่อะไร
ก.ติดต่อกับเครื่องคอมพิวเตอร์ แล้วแปลคำสั่งให้กับผู้ใช้ที่กำลังใช้งานอยู่
ข.กำหนดรูปแบบการสื่อสาร
ค.ติดต่อกับ Application
ง.ทำหน้าที่ติดต่อกับผู้ใช้ โดยจะรับคำสั่งต่างๆจากผู้ใช้ส่งให้คอมพิวเตอร์แปลความหมาย



3. Layer5, Session Layer มีหน้าที่ควบคุมการสื่อสารจากต้นทางไปยังปลายทางในรูปแบบใด
ก. End to End
ข. In the End
ค. In to End

ง. End the End


4. Layer2, Data Link Layer มีหน้าที่อย่างไร
ก.ติดต่อกับ Application
ข.ทำหน้าที่ติดต่อกับผู้ใช้ โดยจะรับคำสั่งต่างๆจากผู้ใช้ส่งให้คอมพิวเตอร์แปลความหมาย
ค.รับผิดชอบในการส่งข้อมูลบน network แต่ละประเภทเช่น Ethernet,Token ring,FDDI, หรือบน WAN ต่างๆ
ง.มีหน้าที่หลักในการส่ง packet จากเครื่องต้นทางให้ไปถีงปลายทางด้วยความพยายามที่ดีที่สุด



5. หน่วยของ Layer1, Physical Layer เรียกว่าอะไร
ก. bits
ข. Frame
ค. packet
ง. Segment


แหล่งที่มาของข้อมูล : http://www.udonoa.com/www-tam/Knowledge/OSImodel.html

วันอังคารที่ 3 มิถุนายน พ.ศ. 2551

คำถามรหัสแอสกี้

1. ตัว J ในรหัสแอสกี้คือตัวเลขอะไร
ก. 39 ข.4A ค.4B ง.4C

2. แอสกี้เป็นรหัสที่พัฒนามาจากสถาบันใด
ก.สถาบันมาตรฐานแห่งชาติสหรัฐอเมริกา
ข.สถาบันมาตรฐานแห่งชาตินิวซีแลนด์
ค.สถาบันมาตรฐานแห่งชาติผรั่งเศส
ง.สถาบันมาตรฐานแห่งชาติออสเตรีย

3.บิดาแห่งรหัสแอสกี้คือใคร
ก.เฟอร์กูสัน
ข.เบนิเตส
ค.เบเมอร์
ง.มูเวลล์

แนะนำตัวเอง

นายชยาพงษ์ วังตะเคน
ชื่อเล่น โม
โปรแกรมวิชาวิทยาการคอมพิวเตอร์ ปี 3 ห้อง 1
รหัส 4912252104
เบอร์โทร 087 - 6509097


งาน

CHAYAPONG
43,48,41,59,41,50,4F,4E,47
0100 0011,0100 1000,0100 0001,01011001,0100 0001,0101 0000,0100 1111,0100 1110,
0100 0111

WANGTAKHEN
57,41,4E,47,54,41,4B,48,45,4E
0101 0111,0100 0001,0100 1110,0100 0111,0101 0100,0100 0001,0100 1011,0100 1000,
0100 0101,0100 1110

087-6509097
30,38,37,2D,36,35,30,39,30,39,37
0011 0000,0011 1000,0011 0111,0010 1101,0011 0110,0011 0101,0011 0000,0011 1001,
0011 0000,0011 1001,0011 0111